วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สรรพคุณของมะลิซ้อน มะลิลา

         สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักพืชที่มีชื่อว่า มะลิซ้อน มะลิลา กันค่ะ ลามะลิลา ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนเป็นมะลิลา...” หลาย ๆ คนคงจะคุ้นเคยกับเพลงพื้นบ้านเพลงนี้ เพราะในสมัยเด็กๆ เราคงเคยเล่นการละเล่นโบราณนี้พร้อมกับร้องเพลงนี้ตามไปด้วยแต่ต่อมาถูกนำไปใช้ในความหมายของอะไรก็ตามที่เดิมดูดี แต่พอเวลาผ่านไป สิ่งที่ดูดีนั้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไป



สรรพคุณของมะลิ

  1. ดอกมะลิมีรสหอมเย็น มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ทำให้ชื่นใจ จิตใจชุมชื่น แก้อาการอ่อนเพลีย ชูกำลัง (ดอก)
  2. หากมีอาการนอนไม่หลับ ให้ใช้รากแห้งประมาณ 1-1.5 กรัมนำมาฝนกับน้ำรับประทาน (ราก)
  3. ดอกสดนำมาตำให้ละเอียดใช้พอกขมับ จะช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้ (ดอก) หรือจะใช้รากสดประมาณ 1-1.5 กรัมนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดศีรษะก็ได้ (ราก)
  4. ช่วยแก้เจ็บตา (ดอก)
  1. รากสดใช้ทำเป็นยาล้างตาแก้เยื่อตาอักเสบ (ราก)ใบและรากใช้ทำเป็นยาหยอดตา (ใบ, ราก) บ้างว่าใช้ดอกมะลิสดที่ล้างน้ำสะอาด นำมาต้มกับน้ำจนเดือดสักครู่ แล้วนำน้ำที่ได้มาใช้ล้างตาแก้ตาแดง เยื่อตาขาวอักเสบ (ดอก)
  2. ช่วยแก้อาการเจ็บหู (ดอกและใบ)
  3. ช่วยแก้อาการปวดฟัน ด้วยการใช้รากสดนำมาทุบให้แหลกคั่วกับเหล้าจนร้อน ใช้พอกบริเวณที่ปวด (ราก) หากปวดฟันผุ ให้ใช้รากมะลิตากแห้งนำมาบดให้เป็นผง ผสมกับไข่แดงที่ต้มสุกแล้วจนได้ยาที่เหนียวข้น ใช้ใส่ในรูฟันผุ (ราก)
  4. ดอกและใบมีรสเผ็ดชุ่ม เป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้เป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับเหงื่อขับความชื้น แก้ไข้หวัดแดด (ดอกและใบ) รากใช้ฝนกับน้ำเป็นยาแก้ร้อนใน (ราก)
  5. ใช้ใบสดประมาณ 3-6 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาแก้ไข้ (ใบ)
  6. ตำรับยาแก้หวัดแดด มีไข้ ให้ใช้ดอกมะลิแห้ง 3 กรัม, ใบชาเขียว 3 กรัม, เมล็ดเฉาก๊วย 9 กรัมนำมารวมกันต้มกับน้ำรับประทาน (ดอก)
  7. ดอกสดนำมาตำใส่พิมเสน ใช้สุมหัวเด็กแก้ซาง แก้หวัด แก้ตัวร้อน (ดอก)
  8. ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ด้วยการใช้รากสดประมาณ 1-1.5 กรัมนำมาต้มกับน้ำรับประทาน (ราก)
  9. ดอกแก่ใช้เข้ายาหอมเป็นยาแก้หืด (ดอก)
  10. ช่วยแก้หอบหืด หลอดลมอักเสบ ด้วยการใช้รากสด 1-1.5 กรัมนำมาต้มกับน้ำรับประทาน (ราก)
  11. รากใช้เป็นยาแก้โรคเกี่ยวกับทรวงอก (ราก)
  12. ดอกสดนำมาตำให้ละเอียดใช้พอกหรือเช็ดบริเวณเต้านมเพื่อให้หยุดการหลั่งของน้ำนมได้ (ดอก)
  13. ใบสดประมาณ 3-6 กรัม นำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องอืดแน่น (ใบ) หรือจะใช้ดอกมะลิแห้ง 3 กรัม, ใบชาเขียว 3 กรัม, เมล็ดเฉาก๊วย 9 กรัม นำมารวมกันต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องเสีย (ดอก)
  14. ช่วยแก้อาการเสียดท้อง (ราก)
  15. ใช้ดอกสดหรือดอกแห้งประมาณ 1.5-3 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาแก้โรคบิด แก้อาการปวดท้อง (ดอก, ดอกและใบ)
  16. ชาวโอรังอัสลีในรัฐเประ ประเทศมาเลเซีย จะนำใบอ่อนใสแช่ในน้ำเย็น ใช้ดื่มแก้นิ่วในถุงน้ำดี (ใบ)
  17. ช่วยบำรุงครรภ์รักษา (ดอก)
  18. ช่วยขับประจำเดือนของสตรี (ราก)
  19. ดอกสดนำมาตำใช้เป็นยาทารักษาแผลเรื้อรัง ทาฝีหนอง ผิวหนังผื่นคัน เยื่อตาอักเสบ และแก้ปวดหูชั้นกลาง (ดอก) ช่วยแก้ฝีหนอง (ดอกและใบ)
  20. ใบสดนำมาตำใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง แผลโรคผิวหนังเรื้อรัง แก้ฟกช้ำ และบาดแผล (ใบ)[1] หรือใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำมันมะพร้าวใหม่ ๆ นำไปลนไฟ ใช้ทารักษาแผล ฝีพุพอง (ใบ)
  21. รากมีรสเผ็ดขม เป็นยาเย็น มีพิษเล็กน้อย ใช้เป็นยาชา ยาแก้ปวด ให้ใช้รากสดประมาณ 1-1.5 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาแก้ปวด (ราก)
  22. ใช้แก้กระดูกร้าว ฟกช้ำ ให้ใช้รากแห้ง 1.5 กรัม นำมาฝนกับเหล้ารับประทาน (ราก) หรือจะใช้รากสดตำพอกแก้ฟกช้ำ เคล็ดขัดยอกเนื่องจากการหกล้ม (ราก)
  23. ใบช่วยขับน้ำนมของสตรี (ใบ)
  24. ตำรายาไทยจะใช้ดอกมะลิแห้งปรุงเป็นยาหอม โดยจัดให้ดอกมะลิอยู่ในพิกัดเกสรทั้ง 5, พิกัดเกสรทั้ง 7, พิกัดเกสรทั้ง 9 เป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณแก้ไข้ ช่วยทำให้จิตใจชุ่มชื่น (ดอก)
  25. นอกจากนี้ยังมีการนำดอกมะลิผสมเข้ายาหอมที่มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ทำให้จิตใจชุ่มชื่น แก้ลมวิงเวียน เช่น ในตำรับยาหอมเทพจิต ยาหอมทิพโอสถ ยาหอมนวโกฐ และยาหอมอินทจักร์ ซึ่งมีส่วนประกอบหลักเป็นดอกมะลิ และยังใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาแก้ไข้มิรู้จักสติสมปฤดี ยาประสะจันทน์แดง ยามหานิลแท่งทอง เป็นต้น (ดอก)


สรรพคุณของสะระแหน่

          สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับ สะระแหน่ กันค่ะ สะระแหน่หรือบางคนเรียกว่ามิ้นท์ เป็นพืชที่มีกลิ่นหอม สะระแหน่สามารถนำมาทำอาหาร นำมาประดับในจานอาหารเพื่อความสวยงาม นอกจากนี้ก็ยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วยมาเรียนรู้ไปพร้อมกันเลยค่ะ




สรรพคุณของสะระแหน่

  1. ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นด้วยการนำใบสะระแหน่มาบดแล้วนำมาทาผิว
  2. สะระแหน่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย
  3. ใช้เป็นยาเย็น ดับร้อน และขับเหงื่อในร่างกาย
  4. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา
  5. ช่วยลดรอยคล้ำใต้ตาด้วยการนำใบสะระแหน่มาบดให้ละเอียดโดยเติมน้ำระหว่างบดด้วยเล็กน้อย แล้วใส่น้ำผึ้งตามลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนำมาทาใต้ตาทิ้ง ไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
  6. ช่วยบรรเทาอาการเครียด
  7. ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง โล่งคอ ด้วยการดื่มน้ำใบสะระแหน่ 5 กรัมกับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง
  8. ช่วยแก้อาการหน้ามืดตาลาย ด้วยการดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่กับขิงสด
  9. ช่วยบรรเทาอาการและแก้หวัด น้ำมูกไหล อาการไอ
  10. ช่วยรักษาโรคหอบหืด
  1. ช่วยรักษาโรคหลอดลมอักเสบ
  2. ช่วยให้หัวใจแข็งแรง
  3. ช่วยรักษาอาการอ่อนเพลียของร่างกาย
  4. ช่วยห้ามเลือดกำเดาไหลได้ ด้วยการใช้สำลีชุบน้ำที่คั้นจากใบสะระแหน่ หยอดที่รูจมูก
  5. ช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน เจ็บปาก เจ็บลิ้น ปวดคอ ด้วยการดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่
  6. ช่วยแก้แผลในปากด้วยน้ำสะระแหน่ ด้วยการดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่
  7. ช่วยรักษาและบรรเทาอาการปวดหู ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบสะระแหน่มาหยอดที่รูหู
  8. ช่วยระงับกลิ่นปากได้อีกด้วย
  9. ช่วยขับลมในลำไส้และช่วยในการย่อยอาหาร
  10. ช่วยรักษาอาการท้องร่วง ปวดท้อง อาการบิด ด้วยการดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่
  11. ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
  12. ช่วยแก้อาการจุกเสียดในท้องเด็ก ด้วยการใช้ใบสะระแหน่ตำให้ละเอียดผสมกับยาหอมแล้วนำมากวาดคอเด็ก
  13. ประโยชน์ของสะระแหน่ช่วยลดอาการหดเกร็งของลำไส้
  14. ช่วยรักษาอาการอุจจาระเป็นเลือด ด้วยการดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่
  15. ช่วยผ่อนคลายความกดดันของกล้ามเนื้อซึ่งมาจากความเหนื่อยล้า
  16. กลิ่นของใบสะระแหน่ช่วยในการไล่ยุงและแมลงต่าง ๆ ด้วยการนำใบมาบดแล้วนำมาทาที่ผิว
  17. ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์
  18. ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ด้วยการนำใบสะระแหน่มาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่โดนกัด
  19. ช่วยระงับอาการปวดได้ดีกว่ายาแก้ปวด
  20. ช่วยแก้อาการปวดบวม ผดผื่นคัน ด้วยการนำใบมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณดังกล่าว
  21. นำไปทำเป็นยาปฏิชีวนะได้
  22. ช่วยยับยั้งเชื้อโรคต่าง ๆ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
  23. นำไปใช้ทำเป็นน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้ทำการบำบัดโดยใช้กลิ่น (อโรมาเธอราพี)
  24. มักใช้เป็นส่วนผสมในการทำไอศกรีม ชาสมุนไพร
  25. ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
  26. นิยมนำมาใช้ในการปรุงอาหารหรือรับประทานสด ๆ ควบคู่ไปกับลาบ น้ำตก เป็นต้น
  27. ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้อาหาร ชวนให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น
  28. ใบสะระแหน่ช่วยลดกลิ่นคาวของอาหารอย่างลาบ ยำ และพล่าได้
  29. ใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องดื่มต่าง ๆและเหล่าได้
  30. ใช้เป็นเครื่องเคียงในอาหารจำพวกผลไม้สด ขนมหวาน
  31. สะระแหน่ สามารถนำมาสกัดเอาสารเพื่อใช้ในการทำเป็นลูกอม หมากฝรั่งรสมิ้นต์ ชาสะระแหน่





สรรพคุณของยอ

         สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับ ยอ กันค่ะ ลูกยอ ส่วนใหญ่ในภาคอีสานจะนิยมนำมาตำใส่เครื่องและน้ำปลาร้า เรียกกว่า เมี่ยงบักยอ ค่ะ มารู้กจักสรรพคุณกันเลยค่ะ




สรรพคุณยอ

1. ใบ
ใบสดใช้ต้มน้ำดื่มหรือนำมาบดตากแห้งชงเป็นชาดื่ม รวมถึงใส่แคปซูลรับประทาน ช่วยแก้กระษัย  แก้ปวดเมื่อยตามข้อมือข้อเท้า รักษาวัณโรค แก้ท้องร่วง ลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้โรคเบาหวาน ป้องกันโรคในระบบหัวใจ และหลอดเลือด แก้โรคมะเร็ง แก้โรคเกาต์ ช่วยขับประจำเดือน แก้อาการคลื่นไส้ วิงเวียนศรีษะ  นอกจากนั้น นำใบสดมาคั้นเอาน้ำมาสระผมฆ่าเหา นำมาทารักษาแผล แผลติดเชื้อ เป็นหนอง

2. ดอก
ดอกใช้ต้มน้ำดื่มหรือนำมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม แก้วัณโรค โรคเบาหวาน ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด ต้านโรคมะเร็ง แก้ไอ ลดเสมหะ แก้ท้องร่วง
3. ผล
เนื้อผลมีรสเผ็ดร้อน มีสารออกฤทธิ์คือ asperuloside ใช้แก้อาเจียน ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร และลำไส้ ช่วยขับประจำเดือน แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่วยลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับนํ้าคาวปลา แก้เสียงแหบแห้ง แก้ร้อนใน แก้กระษัย แก้อาเจียน แก้โรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคระบบหัวใจ และหลอดเลือด ป้องกันโรคมะเร็ง ส่วนเมล็ดใช้เป็นยาระบาย
4. ราก
รากนำมาต้มหรือดองเหล้ารับประทานเป็นยาระบาย แก้กระษัย ช่วยเจริญอาหาร ใช้รักษาวัณโรค  แก้โรคเบาหวาน ป้องกันโรคมะเร็ง โรคในระบบหัวใจ และหลอดเลือด รวมถึงนำมาเป็นสีย้อมผ้า โดยเฉพาะเปลือกรากที่ให้สีแดง ส่วนเนื้อรากจะให้สีเหลือง หรือต้มรวมกันจะให้สีเหลืองปนแดง สีที่ได้จากรากยอจัดเป็นสีที่คงทนต่อซักรีด สีไม่ตกง่าย


สรรพคุณของไมยราบยักษ์

       สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับพืชที่มีชื่อว่า ไมยราบยักษ์ กันค่ะ ดเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีความสูงของต้นประมาณ 1-3 เมตร ตามต้นมีหนามแหลมงองุ้มลงด้านล่างตลอดลำต้นและกิ่งปลายกิ่งย้อย เนื้อแข็งและเหนียว มักพบขึ้นเองในเขตร้อนชื้น ตามที่กว้าง ตามทุ่งหญ้า หุบเขา ริมถนนหนทาง และที่รกร้างทั่วไป


สรรพคุณของไมยราบยักษ์

  1. ทั้งต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงร่างกาย ชาวบ้านมักจะใช้ร่วมกับพืชชนิดอื่น ๆ แล้วนำมาต้มรวมกันเป็นยาสมุนไพรพื้นบ้าน (ใบ,ทั้งต้น)
  2. ต้นมีรสขมเฝื่อนเล็กน้อย นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ (ต้น)
  3. ต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับเสมหะ (ต้น)
  4. ใบใช้ต้มหรือชงกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด (ใบ)
  5. แพทย์ตามชนบททางภาคอีสาน จะใช้ทั้งต้นนำมาตากแห้งคั่วไฟต้มกับน้ำดื่มเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ และขับน้ำนิ่วในไต (ใบ, ทั้งต้น)
  6. ใบมีรสขมเฝื่อนเล็กน้อย นำมาตำพอกเป็นยารักษาแผลเรื้อรังต่าง ๆ แผลฝีหนอง และแก้ปวดบวม (ใบ)
  7. ต้นใช้ต้มกับน้ำดื่ม ช่วยแก้อาการปวดข้อ (ต้น)
  8. ทั้งต้นนำมาตากแห้งคั่วไฟต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคปวดหลัง (ทั้งต้น)





สรรพคุณของผักโขม

สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับสรรพคุณของ ผักโขม กันค่ะ ผักโขมไม่ได้มีรสชาติขมเหมือนที่หลาย ๆ คนเข้าใจ แต่กลับมีรสชาติออกหวานหน่อย ๆ ด้วยซ้ำ กินง่ายแน่นอน แถมยังมีโปรตีนสูงอีกด้วย 



สรรพคุณของใบเตย

        สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักพืชชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมสดชื่น ที่นอกจากจะให้กลิ่นหอมเเล้วยังมีสรรพคุณมากมายอีกด้วย นั่นก็คือ ใบเตย นั่นเองค่ะ



สรรพคุณของใบเตย


  1. ช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น และช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ (น้ำใบเตย)
  2. การดื่มน้ำใบเตยจะช่วยดับกระหายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี เพราะใบเตยมีกลิ่นหอมเย็น ดื่มแล้วจึงรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย
  3. รสหวานเย็นของใบเตยช่วยชูกำลังได้
  4. การดื่มน้ำใบเตยช่วยแก้อาการอ่อนเพลียของร่างกายได้
  5. ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
  6. ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟนั้น การรับประทานอาหารที่ปรุงจากใบเตยจะช่วยทำให้รู้สึกเย็นสบายสดชื่นได้
  7. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งตามตำรับยาไทยได้มีการนำใบเตยหอม 32 ใบ, ใบของต้นสัก 9 ใบ นำมาหั่นตากแดด แล้วนำมาชงเป็นชาดื่มอย่างน้อย 1 เดือน หรือจะใช้รากประมาณ 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำดื่มเช้าเย็นก็ได้เหมือนกัน (ใบ, ราก)
  8. ช่วยลดความดันโลหิต (สารสกัดน้ำจากใบเตย)
  9. ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
  10. ช่วยบรรเทาอาการอาการและดับพิษไข้ได้
  1. ช่วยดับพิษร้อนภายในได้เป็นอย่างดี
  2. ใช้รักษาโรคหืด (ใบ)
  3. ใช้เป็นยาแก้กระษัย (ต้น, ราก)
  4. ใช้เป็นยาขับปัสสาวะด้วยการใช้ต้น 1 ต้น หรือจะใช้รากครึ่งกำมือก็ได้ นำมาต้มกับน้ำดื่ม (ราก, ต้น)
  5. ใช้รักษาโรคหัดได้
  6. ใบเตยสดนำมาตำใช้พอกรักษาโรคผิวหนังได้
  7. มีการนำใบเตยมาใช้แต่งกลิ่นอาหารอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นของหวานต่าง ๆ อย่างเช่น ขนมลอดช่อง ขนมชั้น รวมไปถึงเค้กและสลัด เป็นต้น
  8. มีการนำใบเตยมาทุบพอแตก นำไปใส่ก้นลังถึงสำหรับนึ่งขนม จะทำให้ขนมที่สุกแล้วมีกลิ่นหอมน่ารับประทานมาก
  9. ใช้ใบเตยรองก้นหวดสำหรับนึ่งข้าวเหนียว เมื่อข้าวสุกแล้วจะทำให้มีกลิ่นหอมมาก
  10. สีเขียวของใบเตยเป็นสีของคลอโรฟิลล์ สามารถนำมาใช้แต่งสีขนมได้
  11. ใช้ใบเตยสดใส่ลงไปในน้ำมันที่ใช้แล้ว ตั้งไฟให้ร้อนแล้วค่อยตักใบเตยขึ้น จะทำให้น้ำมันไม่มีกลิ่นเหม็นหืน ทำให้น้ำมันที่ใช้ทอดมีกลิ่นเหมือนน้ำมันใหม่
  12. ประโยชน์ของใบเตยกับการนำมาใช้ทำเป็นทรีตเมนต์สูตรบำรุงผิวหน้า ด้วยการใช้ใบเตยล้างสะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำมาปั่นรวมกับน้ำสะอาดจนละเอียด จะได้ครีมข้นเหนียวแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที





สรรพคุณของเถาเอ็นอ่อน

                 สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับสมุนไพรที่มีชื่อว่า เถาเอ็นอ่อน กันค่ะ เมื่อพูดถึง
เรื่องปวดตามเส้นเอ็น ก็ต้องยกให้สมุนไพรชนิดนี้เลยค่ะ เรามารู้จักกัยสรรพคุณสมุนไพรชนิดนี้กันเลยค่ะ



สรรพคุณของเถาเอ็นอ่อน

  1. ราก เถา และใบมีรสขมเบื่อเอียน เป็นยาเย็น มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและตับ ใช้เป็นยาฟอกเลือด (ราก, เถา, ใบ)
  2. เถานำมาต้มกินจะช่วยทำให้จิตใจชุ่มชื่น (เถา)
  3. เมล็ดมีรสขมเมา เป็นยาขับลมในลำไส้และในกระเพาะอาหาร ทำให้ผายและเรอ ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (เมล็ด)
  4. เถาใช้แก้อาการฟกช้ำดำเขียว โดยใช้เถาที่บดเป็นผง 0.35 กรัม ผสมกับเหล้ารับประทาน หรือใช้ยาแห้งประมาณ 5-6 กรัม นำมาดองกับเหล้ารับประทานครั้งละ 5 ซีซี วันละ 3 ครั้ง (ตำรับนี้ใช้แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้ด้วย) (เถา)
  5. ใบและเถาเป็นยาบำรุงเส้นเอ็น แก้อาการปวดเมื่อย โดยใบมีรสเบื่อเอียน ใช้ทำเป็นลูกประคบ ด้วยการนำใบมาโขลกให้ละเอียด แล้วนำมาห่อกับผ้าทำเป็นลูกประคบแก้เมื่อยขบ แก้ปวดเสียวเส้นเอ็น ช่วยคลายเส้นเอ็น ทำให้เส้นเอ็นที่ตึงยืดหย่อน ส่วนเถามีรสขมเบื่อมัน ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง แก้เส้นเอ็นพิการ เส้นแข็ง แก้อาการปวดเมื่อยเส้นเอ็น แก้อาการปวดบวม ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดหลัง แก้ขัดยอก (ใบ, เถา)




สรรพคุณของกุยช่าย

        สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักพืชที่มีชื่อว่า กุยช่าย กันค่ะ กุยช่ายส่วนมากเราจะเคยเห็นใส่รูปแบบของขนมก็คือขนมกุยช่ายนั่นเองค่ะซึ่งถือว่าเป็นส่วนผสมหลักของไส้ก็ว่าได้ค่ะ นอกจากจะทำขนมได้ก็ยังมีประโยชน์มากเช่นกัน มาเรียนรู้ไปพร้อมกันเลยค่ะ


  1. ช่วยบำรุงกระดูก เนื่องจากใบกุยช่ายมีธาตุฟอสฟอรัสสูง (ใบ)
  2. ช่วยบำรุงกำหนัด กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ แก้ปัญหาการหลั่งเร็วในเพศชาย ไร้สมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากกลิ่นฉุนของน้ำมันหอมระเหยของกุยช่ายจะคล้ายกับกลิ่นของกระเทียม เพราะมีสารประกอบจำพวกกำมะถัน ซึ่งมักจะมีสรรพคุณช่วยในเรื่องเพศ (ใบ)
  3. น้ำมันหอมระเหยจากผักกุยช่ายมีสารอัลลิซิน (Alllicin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด (ใบ)
  4. ช่วยป้องกันมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง (นิตยสารครัว) (ใบ)
  5. ช่วยลดระดับความดัน รักษาโรคความดันโลหิตสูง (นิตยสารครัว) (ใบ)
  6. สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและวัณโรค ให้นำใบของต้นกุยช่ายมาต้มกับหอยน้ำจืดและรับประทานทุกวัน จะช่วยบรรเทาอาการของโรคได้ (ใบ)
  7. ช่วยรักษาโรคหูน้ำหนวก ด้วยการใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดนำมาทาในรูหู (ใบ)
  8. ใช้เป็นยาแก้หวัด (ใบ)
  9. ช่วยแก้เลือดกำเดาไหลได้เป็นอย่างดี (ราก)
  10. เมล็ดช่วยฆ่าแมลงกินฟัน ด้วยการใช้เมล็ดคั่วเกรียมนำมาบดให้ละเอียด แล้วผสมกับน้ำยางชุบสำลี ใช้อุดฟันที่เป็นรูทิ้งไว้ 1-2 วัน จะช่วยฆ่าแมลงที่กินอยู่ในรูฟันให้ตายได้ (เมล็ด)
  1. ช่วยแก้อาเจียน ด้วยการใช้ต้นกุยช่ายนำมาคั้นเอาแต่น้ำผสมกับเกลือเล็กน้อย หรือจะผสมกับน้ำขิงสักเล็กน้อย อุ่นให้ร้อนแล้วนำมารับประทานก็ได้เช่นกัน (ราก, ใบ)
  2. รากสรรพคุณมีฤทธิ์ในการช่วยห้ามเหงื่อ (ราก)
  3. ช่วยรักษาอาการหวัด (ใบ)
  4. ช่วยแก้อาการแน่นหน้าอก (ราก)
  5. ช่วยแก้อาการท้องเสีย ด้วยการใช้ต้นกุยช่ายนำมาคั้นเอาแต่น้ำผสมกับเกลือเล็กน้อย แล้วนำมารับประทาน (ต้น)
  6. ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลมในกระเพาะ ด้วยการใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม (ใบ)



สรรพคุณของกรรณิการ์

          สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักสมุนไพรที่มีชื่อว่า กรรณิการ์ กันค่ะ ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในตอนกลางของประเทศอินเดีย เข้าใจว่าเข้ามาในไทยในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือในสมัยตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ และมีการสันนิษฐานว่าชื่อ "กรรณิการ์" นั้นมาจากคำว่า "กรรณิกา" ซึ่งมีความหมายว่า ช่อฟ้า กลีบบัว ดอกไม้ ตุ้มหู และเครื่องประดับหู ซึ่งหากสังเกตจากรูปทรงของดอกกรรณิการ์แล้วก็จะเห็นว่าเหมาะจะใช้เป็นเครื่องประดับหูได้ดี เพราะมีหลอดที่ใช้สอดในรูที่เจาะใส่ต้มหูได้นั่นเอง 


สรรพคุณของกรรณิการ์

  1. รากมีรสขมฝาด ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ (ราก)
  2. รากใช้เป็นยาแก้วาโยกำเริบเพื่ออากาศธาตุ (ราก)
  3. ดอกช่วยบำรุงหัวใจ (ดอก)
  4. รากใช้เป็นยาบำรุงกำลัง (ราก)
  5. ใช้เป็นยาแก้อาการอ่อนเพลีย (ราก)
  6. ใช้เป็นยาแก้โลหิตตีขึ้น (ดอก)
  7. ใบมีรสขม ช่วยทำให้เจริญอาหาร ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 1 กำมือ เติมน้ำคั้นลงไปแล้วคั้นเอาแต่น้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้แบ่งรับประทาน 4 ครั้ง ถ้ากินมากจะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย (ใบ)
  8. ใบใช้เป็นยาแก้ตานขโมย (ใบ)
  9. ช่วยบำรุงเส้นผม แก้เส้นผมหงอก ด้วยการใช้ใบนำไปแช่กับน้ำมันมะพร้าวประมาณ 1-2 คืน ก็จะได้น้ำมันที่มีสีเหลืองอ่อน ๆ สำหรับนำมาใช้ทาหมักผมก่อนนอน จะช่วยป้องกันไม่ให้ผมหงอกก่อนวัยได้ (ใบ) ส่วนข้อมูลจากหนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย ระบุว่าส่วนที่นำมาใช้เป็นยาแก้ผมหงอกคือส่วนของราก (ราก)
  10. ช่วยบำรุงผิวหนังให้สดชื่น (ราก)
  11. เปลือกมีรสขมเย็น ใช้เปลือกชั้นในนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดศีรษะ ส่วนต้นก็มีสรรพคุณแก้ปวดศีรษะเช่นกัน (ต้น, เปลือก)
  12. ดอกมีรสขม ช่วยแก้ลมวิงเวียน (ดอก)
  13. ใช้เป็นยาแก้ลมและดี (ราก)
  14. ต้นมีรสหวานเย็นฝาดใช้เป็นยาแก้ไข้ ส่วนใบและดอกก็มีสรรพคุณแก้ไข้เช่นกัน (ต้น, ใบ, ดอก)
  15. ใบช่วยแก้ไข้เพื่อดีและแก้ไข้จับสั่นชนิดจับวันเว้นวัน (ใบ)
  16. ดอกใช้เป็นยาแก้ไข้มิรู้สติ เป็นไข้บาดทะจิต แก้ไข้ผอมเหลือง (ดอก)
  17. รากช่วยแก้อาการไอ (ราก)
  18. แพทย์ชนบทในสมัยก่อนจะใช้ต้นและรากกรรณิการ์ นำมาต้มหรือฝนรับประทานเป็นยาแก้อาการไอสำหรับสตรีหลังคลอดบุตรใหม่ ๆ (ต้น, ราก)
  19. ใช้เป็นยาแก้ตาแดง (ดอก)
  20. ใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้อง (ใบ)
  21. ใช้เป็นยาแก้อาการท้องผูก (ราก)
  22. ใบใช้เป็นยาระบาย (ใบ)
  23. ใช้เป็นยาแก้อุจจาระเป็นพรรดึก (ราก)
  24. ในอินเดียใช้ใบเป็นยาขับพยาธิ (ใบ)
  25. ในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ใช้ดอกเป็นยาขับประจำเดือน (ดอก)
  26. ใบใช้เป็นยาบำรุงน้ำดี ขับน้ำดี (ใบ)
  27. ต้นและใบใช้เป็นยาแก้อาการปวดตามข้อ (ต้น, ใบ)
  28. ดอกใช้เป็นยาแก้พิษทั้งปวง (ดอก)


วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สรรพคุณของกกรังกา

 สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับสมุนไพรที่มีชื่อว่า กกรังกา กันค่ะ  ไม้ล้มลุก (ExH) มีอายุหลายปี ลำต้นใต้ดินสั้นและแข็ง ลำต้นเหนือดินขึ้นเป็นกอ สูงประมาณ 0.5-1.5 เมตร ลักษณะของลำต้นตรงไม่มีกิ่งก้านรูปสามเหลี่ยมมน ๆ ที่โคนต้นเกือบกลม ลำต้นที่อยู่ใต้ช่อดอก สากหุ้มด้วยกาบที่ปราศจากใบ กาบที่โคนมีสีเขียวอ่อน




สรรพคุณของกกรังกา

ราก รสขมเอียน น้ำต้มรากดื่มแก่ช้ำใน และอาการตกเลือดจากอวัยวะภายใน ขับเลือดเสียออกจากร่างกาย
เหง้าหัวใต้ดิน รสขมเอียน ต้มเอาน้ำดื่ม เป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ ขับน้ำลาย และขับเสมหะเป็นยาแก้เสมหะเฟื่อง แก้ธาตุพิการ และเป็นยาทำให้อยากอาหาร
ลำต้น รสจืดเย็น นำมาต้มเอาน้ำดื่ม ช่วยขับน้ำดีให้ตกลงลำไส้ ขับลมในลำไส้ ซึ่งรสจืดเย็นใช้ในการขับปัสสาวะ รสขม รักษาน้ำดี สร้างน้ำดี โลหิต และแก้เสมหะ
ใบ รสเย็นเบื่อ ใช้เป็นยาฆ่าพยาธิซึ่งเป็นตัวนำเชื้อโรคทั้งหมด โขลกพอกฆ่าพยาธิบาดแผล ต้มเอาน้ำดื่มฆ่าพยาธิหรือเชื้อโรคภายใน (ฆ่าพยาธิที่เป็นพวกแบคทีเรียหรือเชื้อรา ไม่ใช่พยาธิปากขอ ไส้เดือน)
ดอก รสฝาดเย็น น้ำต้มดอก ใช้อมกลั้วคอแก้โรคในปาก เช่น แผลเปื่อยเป็นแผลพุพอง หรือปากซีด




วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สรรพคุณของการบูร

       สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับ การบูรกัน ค่ะ   เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของประเทศจีน 
ดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นทรงพุ่มกว้างและทึบ มีความสูงของต้นได้ถึง 30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 1.5 เมตร เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวหยาบ ส่วนเปลือกกิ่งเป็นสีเขียวหรือเป็นสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นและกิ่งเรียบไม่มีขน ส่วนเนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เมื่อนำมากลั่นแล้วจะได้ "การบูร" ทุกส่วนมีกลิ่นหอม โดยเฉพาะที่ส่วนที่ของรากและโคนต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และวิธีการปักชำ


สรรพคุณของการบูร

  1. ช่วยแก้อาการปวดฟัน
  2. ช่วยแก้กระเพาะหรือลำไส้อักเสบ
  3. ช่วยฆ่าพยาธิในท้อง ใช้ทะลวงทวารบริเวณใบหน้า
  4. การบูรใช้เป็นทาถูนวดแก้อาการปวด แก้เคล็ดขัดยอก เคล็ดบวม ข้อเท้าแพลง ข้อบวมเป็นพิษ แก้อาการปวดตามข้อ แก้ปวดเส้นประสาท ปวดขัดตามเส้นประสาท
  5. ช่วยขับความชื้นในร่างกาย

ข้อควรระวังในการใช้การบูร

  1. สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานและผู้ที่มีปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขัด เป็นโรคริดสีดวงทวาร อุจจาระแข็งแห้งไม่ควรรับประทาน
  2. ห้ามใช้น้ำมันการบูรที่มีสีเหลืองและสีน้ำตาล เพราะมีความเป็นพิษ
  3. เมื่อรับประทานการบูร 0.5-1 กรัม จะมีผลทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ และภายในมีอาการแสบร้อนและอาจเกิดอาการเพ้อได้
  4. ถ้ารับประทานการบูร 2 กรัมขึ้นไปจะเกิดอันตรายทำให้อัตราการเต้นของหัวใจอ่อนลง
  5. หากรับประทานการบูร 7 กรัมขึ้นไปจะเป็นอันตรายถึงชีวิต


สรรพคุณของกวาวเครือขาว

                 สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้เราจะพาทุกคนมารู็จักกับสมุนไพรที่มีชื่อว่า กวาวเครือขาว ค่ะ
สมุนไพรกวาวเครือขาว จัดเป็นไม้เลื้อยหรือพืชในตระกูลถั่ว มีหัวอยู่ใต้ดิน ลักษณะกลม มื่อเอามีดผ่าออกจะมียางสีขาวคล้ายน้ำนม เนื้อในจะมีสีขาวคล้ายมันแกว เนื้อเปราะ มีเส้นมาก ส่วนหัวเล็ก เนื้อในจะละเอียด มีน้ำมาก และนิยมเพาะปลูกหรือพบมากทางภาคเหนือและอีสานของประเทศ


 กวาวเครือขาวเป็นสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับเพศหญิง แต่สำหรับเพศชายก็สามารถรับประทานได้เช่นกัน เพราะมีสรรพคุณช่วยทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวยและเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขจัดให้กวาวเครือขาวเป็นตัวยาชนิดหนึ่งในตำรับยาบำรุงร่างกาย และได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณและยาแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ซึ่งสามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์

     สรรพคุณของกวาวเครือขาว

  1. ประโยชน์ของกวาวเครือขาวช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง เปล่งปลั่งสดใส นุ่มนวลเรียบเนียน
  2. ช่วยเพิ่มปริมาณเส้นผมและช่วยให้เส้นผมดกดำ
  3. ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นมีส่วนช่วยลดความมันบนใบหน้า
  4. ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้าของร่างกาย
  5. บำรุงสมอง ช่วยให้ความจำดีขึ้น
  6. แก้อาการปวดประจำเดือน ปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ทำให้ประจำเดือนมาเป็น

ผลข้างเคียงของกวาวเครือขาว

  1. ตำรายาแผนโบราณระบุไว้ว่า คนหนุ่มสาวห้ามรับประทาน (ในที่นี้คงจะหมายถึงผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี)
  2. เด็กหญิงวัยก่อนมีประจำเดือนไม่ควรรับประทาน
  3. สตรีที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตรไม่ควรรับประทาน
  4. ห้ามรับประทานของหมักดองเปรี้ยว ดองเค็ม (ตำราแผนโบราณ)
  5. ควรอาบน้ำวันละ 3 ครั้ง (ตำราแผนโบราณ)
  6. ห้ามไม่ให้ตากอากาศเย็นเกินไป (ตำราแผนโบราณ)
  7. ฮอร์โมนเหล่านี้หากได้รับมากจนเกินไปอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้




วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สรรพคุณของพิษนาศน์

          สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับพืชที่มีชื่อว่า พิษนาศน์หรือถั่วดินโคก ค่ะ



ต้นพิษนาศน์ จัดเป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นสั้นมาก มีความสูงได้เพียง 15-30 เซนติเมตร
ใบพิษนาศน์ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ แนบไปกับพื้นดินเป็นแนวรัศมี ใบย่อยมี 9-13 ใบ ลักษณะของใบเป็นรูปวงรี รูปไข่ หรือรูปขอบขนานแกมรูปวงรี ปลายใบเป็นรูปไข่กลับ ใบย่อยมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2-5 เซนติเมตร ผิวใบมีขนละเอียดสีขาวขึ้นปกคลุม

ดอกพิษนาศน์ ออกดอกเป็นช่อกระจะ โดยจะออกที่ปลายยอด ดอกย่อยมีจำนวนมาก กลีบดอกเป็นสีม่วงเข้ม มีลักษณะเป็นรูปดอกถั่ว ก้านช่อดอกยาว
ผลพิษนาศน์ ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปขอบขนาน มีขนละเอียดสีขาว ภายในมีเมล็ด 1 เมล็ด

สรรพคุณของพิษนาศน์

  • ยาสมุนไพรพื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานี จะใช้รากพิษนาศน์ นำมาฝนกับน้ำดื่มเป็นยาช่วยลดไข้ในเด็ก ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงน้ำนมของสตรี (กินมากไม่ดี) ใช้ฝนทาแก้พิษงู (ต้องว่าคาถาด้วย) และใช้ลำต้น ราก เหง้า และใบนำมาฝนทาเป็นยาแก้ฝี
  • ยาพื้นบ้านอีสานจะใช้รากพิษนาศน์ ฝนกับน้ำทาแก้ฝี
  • บางข้อมูลระบุว่า สมุนไพรชนิดนี้ชาวบ้านจะใช้ส่วนของรากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับพิษภายใน ขับน้ำค้างขังตามที่ต่าง ๆ แก้คางทูม แก้ฟกบวมตามข้อ ตามกล้ามเนื้อ และใช้ส่วนของต้นเป็นยาแก้ไข้เซื่องซึม ช่วยดับพิษกาฬที่ทำให้หมดสติ พูดไม่ออก (ยังไม่ยืนยัน)





ที่มา https://medthai.com/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C/

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สรรพคุณของว่านหางจระเข้

         สวัสดีค่ะ วันนี้นะคะเราจะพาทุกคนมารู้จักที่มาและสรรพคุณของ ว่านหางจระเข้ กันค่ะ
ไม้ล้มลุกใบใหญ่หนาที่ทุกคนรู้จักกันดี แม้ถิ่นกำเนิดจะอยู่ไกลถึงฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน และแอฟริกา แต่ในประเทศไทยก็มีการปลูกว่านหางจระเข้อย่างแพร่หลาย ซึ่งในตำรับยาไทยก็ใช้ว่านหางจระเข้บำบัดอาการต่าง ๆ ได้มากมาย จนเป็นที่รู้จักว่า เป็นพืชอัศจรรย์ที่มีสรรพคุณสารพัดประโยชน์

 ว่านหางจระเข้


สรรพคุณของขมิ้นชัน

       สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะพามารู้จักกับพืชสีเหลืองและสรรพคุณของพืชชนิดนี้ นั่นก็คือ ขมิ้นชัน ค่ะ
เรียกกันทั่วไปว่า "ขมิ้น" เป็นไม้ล้มลุกมีสีเหลืองอมส้ม มีเหง้าอยู่ใต้ดิน มีกลิ่นหอม


ขมิ้นชัน

       คนนิยมนำ "เหง้า" ทั้ง สดและแห้งมาใช้รักษาอาการที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร รวมทั้งแก้ท้องเสีย ท้องร่วง จุกเสียดแน่นท้อง และสามารถนำขมิ้นชันมาทาภายนอก เพื่อใช้รักษาแผลเรื้อรัง แผลสด โรคผิวหนัง พุพอง รักษาชันนะตุได้ด้วย
          นอกจากนั้น "ขมิ้นชัน" ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ "คูเคอร์มิน" ที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งตับ อีกทั้งยังสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนัง หรือใครที่มีแผลอักเสบ "ขมิ้นชัน" ก็มีสรรพคุณช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เพราะมีฤทธิ์ไปลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง และหากรับประทานขมิ้นชันทุกวัน ตามเวลาจะช่วยให้ความจำดีขึ้น ไม่อ่อนเพลียยามตื่นนอน และช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นอีกด้วยค่ะ


สรรพคุณของทองพันชั่ง

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับพืชชนิดนี้ ซึ่งเชื่อว่าหลายๆคนอาจจะไม่คุ้นหู
นั่นก็คือ ทองพันชั่ง ค่ะ


  ทองพันชั่ง เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าไม่ต่างไปจากชื่อ "ทองพันชั่ง" หลายพื้นที่อาจเรียกว่า "ทองคันชั่ง" หรือ "หญ้ามันไก่" เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ออกดอกสีขาว ส่วนที่ใช้ทำยาคือ ใบและราก ที่หากนำปริมาณ 1 กำมือมาต้มรับประทานเช้าเย็น จะช่วยดับพิษไข้ รักษาโรคผิวหนัง ริดสีดวงทวารหนัก แก้ไอเป็นเลือด ฆ่าพยาธิ นอกจากนั้น ยังสามารถนำใบและรากมาตำละเอียด เพื่อรักษาโรคกลาก เกลื้อน ได้ด้วย
          นอกจากสรรพคุณข้างต้นแล้ว มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมพบว่า "ทองพันชั่ง" มีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็งเยื่อบุช่องปาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้ รวมทั้งช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง แก้ผมร่วง รักษาโรคนิ่ว ฯลฯ แต่ข้อควรระวังคือ ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง โรคหัวใจ โรคหืด โรคความดันโลหิตต่ำ โรคมะเร็งในเม็ดเลือด ไม่ควรรับประทาน

สรรพคุณของกะเพรา

สวัสดีค่ะ วันนี้มาเจอกันอีกแล้วกับการมาให้ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร วันนี้เราจะพามารู้จักกับพืชที่ไม่ใช่แค่มีไว้ทำอาหาร แต่ยังเป็นยาได้อีกด้วย ก็คือ กะเพรา นั่นเอง

กะเพรา
 แม้จะเป็นผักที่คนไทยนิยมสั่งมารับประทานเวลาที่นึกไม่ออก แต่ก็มีน้อยคนที่จะรู้ว่า กะเพรา มีสรรพคุณอะไรบ้าง ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือ ใบกะเพรา มีฤทธิ์ขับลม ช่วยแก้จุดเสียด แน่นท้อง แก้ปวดท้องอุจจาระ ส่วนน้ำสกัดทั้งต้น สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร สำหรับเมล็ดกะเพรา ก็สามารถพอกตาให้ผงหรือฝุ่นที่เข้าตาหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นแล้ว รากกะเพราแห้ง ๆ ยังนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแก้โรคธาตุพิการได้ด้วย
          และสรรพคุณเด็ดของกะเพราอีกประการก็คือ ช่วยขับไขมันและน้ำตาล เคยสงสัยบ้างไหมล่ะ ทำไมอาหารตามสั่งต้องมีเมนูผัดกะเพราเนื้อ กะเพราไก่ กะเพราหมู นั่นก็เพราะนอกจากใบกะเพราจะช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ได้แล้ว ยังมีฤทธิ์ขับไขมัน และน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย อีกทั้ง กะเพราจะช่วยขับน้ำดีในตับออกมาให้ช่วยย่อยไขมันได้ดีขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น หากบอกว่า รับประทานกะเพราแล้วจะช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ ก็คงไม่ผิดนัก